080-5519598 (คุณแก้ว) plarnkhoi@hotmail.com
Select Page

บทความโดย นพ.บัญชา แดงเนียม

ทำไม? บางทีที่เรามีทุกอย่างเพียบพร้อมแต่กลับไม่มีความสุข ทำไม?
หน้าที่การงานที่กำลังไปได้ดีกลับมีอุปสรรค ทำไมต้องมาประสบอุบัติเหตุ ทำไม? และทำไม?

ทุกอย่างที่อุบัติขึ้น ไม่ใช่เหตุบังเอิญเป็นสิ่งที่อุบัติขึ้นตามเหตุ ล้วนแล้วแต่มีเหตุที่มาที่ไปทั้งสิ้น
ซึ่งภาษาที่ใช้เรียกเหตุที่มาที่ไปนั้นว่า“กรรม”ถ้าพูดถึง “กรรม” คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร
ทำไมจึงส่งผลได้ข้ามภพข้ามชาติ แล้วการแก้กรรมที่ใช้วิธีการสะเดาะเคราะห์ ด้วยกรรมวิธีต่างๆ
จะได้ผลจริงหรือ แล้วทำอย่างไรจึงจะพ้นกรรม ไม่ต้องทุกข์อีก

ถ้าจะเข้าใจการทำงานของ “กรรม”จะต้องเข้าใจถึงการทำงานของ “จิต”เสียก่อน
เพราะ “กรรม”เป็นผลจากการแสดงของ “จิต”นั่นเองแล้วจิตคืออะไร

จิต เปรียบเสมือนฮาร์ดดิสก์หรือแหล่งเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ โดยการใช้การเกิด-ดับ มารับส่งข้อมูล
ลักษณะเดียวกับระบบดิจิตัล [010101] แต่จิตนั้นมีการเกิดดับรวดเร็วกว่าดิจิตัลหลายล้านเท่า
โดยประมาณถึงสี่ล้านล้านครั้งต่อวินาที จึงรับส่งข้อมูลได้มหาศาลเหมือนว่าไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ว่าเราจะทำอะไรลงไปโดยเจตนา ทั้งการพูด การกระทำ แม้แต่การคิด ล้วนแล้วแต่บันทึกเข้าจิตทั้งสิ้น

วิธีบันทึก คือจากสิ่งเร้าภายนอก ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เข้าสู่ตัวรับ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมีสิ่งเร้าภายในเข้าสู่ตัวรับภายใน
คือ อารมณ์ เข้าสู่ใจ จากนั้นจะมีวิญญาณ คือ ตัวรู้ที่มารับข้อมูลแปลงเป็นเวทนา ส่งให้จิตซึ่งเกิดดับมารับข้อมูลนั้นๆ เข้าไปเก็บบันทึกอย่าลืมว่า
มีทั้งกรรมมีทั้งดีและชั่ว ต่างก็บันทึกในจิตทั้งสิ้น ถ้าเราหลับไปตัววิญญาณ(ตัวรู้) ไม่ทำงานก็ไม่เกิดการรับรู้ ไม่เกิดการบันทึกข้อมูล
แต่ทว่าขณะที่วิญญาณหรือตัวรู้มารับรู้ความรู้สึกนั้นได้มีข้อมูลเข้ามาแทรกด้วยนั่นก็คือ การตัดสิน ผิด-ถูก ดี–ชั่ว ตามแต่กิเลสตัณหาจะ
ปรุงแต่งไป ทำให้เกิดอวิชชาหรือความรู้ผิดยิ่งทำให้จิตบันทึกข้อมูลที่บิดเบือน ข้อมูลที่ผ่านการปรุงแต่งแล้ว

เมื่อร่างกายหมดอายุ คือ ตาย ข้อมูลที่บันทึกก็จะเป็นตัวที่ทำให้เกิดการก่อรูปใหม่ สุดแท้แต่ข้อมูลใดจะชัดเจนที่สุด ในเวลาสุดท้ายก่อนตาย
เปรียบได้กับการส่งผ่านข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งสู่อีกเครื่องหนึ่ง ผ่านทางระบบบลูทูธหรือทางคลื่นนั่นเอง เมื่อมีการกระตุ้น
โดยการเปิดโปรแกรมก็จะทำให้ข้อมูลแสดงผล เช่นเดียวกันกับ “กรรม”ที่บันทึกไว้ในจิต เมื่อมีตัวกระตุ้น คือการกระทำปัจจุบันที่คลื่น
ตรงกันกับข้อมูลกรรมในจิต ก็จะส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เรา“รู้สึก” สุข หรือ ทุกข์ แบบเดียวกับที่เราเคยทำมาในอดีต เช่น
เคยทำร้ายผู้อื่นให้บาดเจ็บก็จะเกิดเหตุการณ์ทำให้บาดเจ็บจนรู้สึกทุกข์ เจ็บปวดแบบเดียวกับที่เคยทำเขาไว้ ขอเน้นคำว่า “รู้สึก”
เพราะการใช้กรรมเป็นการใช้ด้วยความ “รู้สึก”แต่การที่จะ “รู้สึก”ได้แบบที่เคยกระทำเขาไว้ก็เห็นจะมีเพียง
การเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันเท่านั้น เช่น โกงเขาก็ถูกเขาโกง ทำร้ายเขาก็ถูกเขาทำร้าย เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ยังมีวิธีที่จะใช้กรรมก่อนที่กรรมนั้นจะส่งผลทางกายภาพจริง ๆ นั่นคือ การที่เข้าไปดูข้อมูลในจิต
และใช้หรือล้างข้อมูลโดย“จิต”ที่ยอมรับและ“รู้สึก”สุข –ทุกข์ แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้น
โดยต้องเน้นว่าเป็นการใช้ “ความรู้สึก”เข้าไปล้างข้อมูล ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดเหตุการณ์จริง แต่
“ความรู้สึก” นั้นต้องเป็นความรู้สึกจริง ๆ จากส่วนลึก ไม่ใช่แกล้งทำ ไม่ใช่หลอกจิต
จึงจะสามารถล้างข้อมูลได้ เรียกว่า แก้ไข “กรรม”ที่ต้นเหตุนั่นเอง จึงไม่ต้องใช้กายภาพจริงมาชดใช้
ซึ่งอาจพิการหรือเสียชีวิตได้ ในกรณีที่เป็นกรรมชั่ว

แล้วจะเข้าไปดูได้อย่างไร?
แท้ที่จริงไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปนัก ขอเพียงแต่เราปล่อยจิตปัจจุบันให้ว่างจากความรู้สึกทั้งปวง ละวางตัวตน ความดี ความชั่ว ความถูก
ความผิด ต้องวางทั้งสิ้น เพื่อให้จิตพร้อมที่จะรับข้อมูลต่าง ๆ ที่จะปรากฏออกมา

เมื่อจิตปัจจุบัน นิ่ง จะเกิดแรงเหวี่ยง ตามธรรมชาติของ พลังงานในจักรวาล ที่ทุกสิ่งอยู่นิ่งได้ต้องมีแรงหมุน แรงเหวี่ยง
ไม่ว่าจะเป็นดวงดาว ลูกข่าง อิเล็กตรอนฯลฯ ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยแรงหมุนเพื่อความสมดุลทั้งสิ้น ยิ่งเมื่อให้ตัวกระตุ้นภายนอก
(เช่น เสียง) เข้าสู่ตัวรับภายใน (เช่น หู) แต่ไม่เปิดโอกาสให้วิญญาณมา รับอารมณ์ไปปรุงแต่ง
เพียงให้ใจเป็นตัวรู้อารมณ์แล้วกลับมาที่ตัวรับภายใน (เช่น หู) อีก วนเป็นวงกลมหรือวงรีก็ได้ ทิศทางใดก็ได้
ไม่ต้องปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น จะเกิดแรงเหวี่ยงเพิ่มขึ้นจนตัดสนามแม่เหล็ก ของจิตได้ ข้อมูล (กรรม) จากจิตเดิมก็จะปรากฏออก
แล้วจิตปัจจุบันที่พร้อมอยู่แล้วจะเข้าไปเรียนรู้ข้อมูล ซึ่งอาจแสดงออกมาทางกายภาพบ้าง แต่เป็นการแสดงออกขณะที่อยู่ในสมาธิ
เป็นการใช้ “ความรู้สึก”เข้าไปล้างข้อมูล จึงไม่จำเป็นที่จะต้องหยุดการแสดงออกใดๆ ณ ขณะนั้น
ปล่อยให้มีการดำเนินปฏิกิริยาต่อไป เมื่อจิตปัจจุบันได้เรียนรู้จนบริบูรณ์แล้วก็จะปล่อยวาง ความยึดมั่นในตัวตน
ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะทำหน้าที่ไปด้วยจิตว่าง ไม่มีความโลภ โกรธ หลง ถ้าทุกคนทำเช่นนี้โลกก็จะสงบสุขไม่เกิดสงคราม
อย่างไรก็ดีเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเฉพาะตน ซึ่งแต่ละคนต้องมาทำเอง ปฏิบัติเองรู้ด้วยตนเอง

จึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านมาปฏิบัติ เรียนรู้ รับรองว่าไม่มีอันตรายแน่นอน ท่านจะได้ชำระสิ่งติดค้างในใจของท่านให้เกิด
สันติสุขในใจ เพื่อความสุขที่แท้จริง

นพ.บัญชา แดงเนียม