โปรแกรมที่ 4 นานาจิตตัง
เพิ่มอินทรีย์ พละ 2 ชั่วโมง
ท่ายืน โดยมีเสียงดนตรีเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้จิตมีพลังขับ เคลื่อน เริ่มจากสร้างอาการสั่นสะเทือนขึ้นมาทั่วร่างกาย ความรู้สึกทั้งหมดดิ่งเข้าไปแกนกลางของชีวิตคือจิตสำนึก ปลดปล่อยลื่นไหลไปตามความต้องการของจิต ไม่บังคับไม่สั่งการ ไม่พิจารณา ไม่ตัดสิน ตั้งมั่นอยู่กับการเคลื่อนไหว แค่เฝ้ามองสิ่งที่มันเกิดขึ้นรู้ แล้วเหวี่ยงทิ้ง คือปล่อยให้อารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น แต่ไม่ติดมัน สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ผ่านไปๆ แต่ละดวงจิต มีจริตที่ไม่เหมือนกัน มีวิบากกรรมที่แตกต่างกัน การแสดงออกจึงต้องไม่เหมือนกัน ให้เป็นไปตามธรรมชาติของแต่ละดวงจิต เพียงแค่ตั้งมั่นเฝ้ามอง คลื่นเสียงที่มากระทบหูแรงและเร็วแค่ไหนการเต้นของหัวใจก็จะเร็วและแรงเท่าเทียมกัน ก็จะเกิดแรงดึงของสองส่วนระหว่างหูกับใจ ทำให้จิตซึ่งเป็นผู้ถูกดึงจะเกิดแรงหมุนวนเร็วขึ้น ทำให้ฟื้นฟูพลังจิตเดิมให้ฟื้นขึ้น เมื่อจิตมีพลังมากกว่าแรงดึงระหว่างข้างนอกคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด และข้างในคือใจ จิตก็จะได้รับอิสรภาพระหว่างแรงดึงทั้งสองส่วน ลื่นไหลไปทั่วร่างกายได้อย่างอิสระ และสามารถเข้าไปสู่จิตในจิตได้ พลังสั่นสะเทือน พลังหมุน พลังเหวี่ยง พลังกระทุ้ง พลังกระแทก ช่วยดึงให้จิตอยู่ในวงจร ความคิดและอารมณ์ต่างๆ แทรกเข้ามาไม่ได้ ความเร็วของการเคลื่อนไหวทำให้ไม่หลุดจากวงจร เหมือนมอเตอร์ไซค์ไต่ถัง ความเร็วของการวิ่งวนทำให้เกิดแรงเหวี่ยง ตัดแรงดึงดูดของสนามแม่เหล็กได้ ทำให้มอเตอร์ไซค์นิ่งอยู่กับการเคลื่อนไหว วิ่งขึ้นไปบนปากถังได้ เสริมสร้างให้พลังสมาธิและสติมีกำลังมากขึ้น สติเร็วขึ้น สามารถรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบได้ดีขึ้น ร่างกายเคลื่อนไหวก็ได้กายภาพบำบัด เลือดลมหมุนเวียนดีขึ้น ภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาติฟื้นขึ้น ทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงทำให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้น ความจริงตามธรรมชาติหลายสิ่งหลายอย่างยากที่จะใช้ภาษาซึ่งมนุษย์สมมุติขึ้น มาอธิบายรสชาติของกาแฟว่ามีรสชาติอย่างไร ภาษาหยาบเกินไปที่จะอธิบายให้ฟังแล้วสามารถเข้าถึงรสชาตินั้นได้ เราต้องลงมือชิมดูประสาทสัมผัสที่ลิ้นก็จะลิ้มรสนั้นได้ อยากรู้ว่าน้ำมันเย็น ร้อน แค่ไหนก็ต้องโดดลงไปสัมผัส รับรู้ด้วยผัสสะ และจิตวิญญาณโดยตรง เราออกกำลังกายเราก็แข็งแรง จะแบ่งความแข็งแรงนี้ให้กับคนที่เรารักก็ไม่ได้ เป็นเรื่องเฉพาะตัวไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว ความลังเลสงสัยทำให้เกิดวิตกจริตคือผลกรรมที่เราถูกฝึกหล่อหลอมให้เป็นนักคิดหาเหตุผล หลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้เกิดขึ้นตามเหตุผลแบบตรรกะ แต่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ตามธรรมชาติ จึงต้องลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง ผลเป็นอย่างไรเราก็จะได้รับรู้ด้วยตนเอง (LEARNING BY DOING)