จะพูดเรื่องวิปัสสนากัมมัฏฐาน โดยใช้อายตนะมาเป็นฐานของการปฏิบัติ แต่พูดเพียงสังเขป เพื่อจะได้นำความรู้ไปใช้ในการเจริญวิปัสสนา
ได้ถูกต้องเท่านั้นถ้าพูดในเรื่องทฤษฎีหรือปริยัติมากเกินไป จะทำให้เสียเวลาและกลับจะทำให้สับสนเปล่าๆ
สมัยก่อนพุทธกาลเจ้าชายสิทธัตถะก็เริ่มจากปฏิบัติก่อน เมื่อตรัสรู้แล้วเข้าสู่ปฏิเวชแล้วนำสิ่งที่รู้เห็นมาสอน คำสอนจึงถูกบันทึกไว้
กลายเป็นปริยัติ พุทธบริษัทยุคนี้เนื่องจาก ลาภ ยศ สรรเสริญวัดกันที่ความรู้ทางปริยัติ เลยมุ่งสนใจปริยัติก่อน ต่างคนต่างจบเปรียญ ๙
ต่างคนต่างเป็น ดอกเตอร์ทางศาสนา แปลนิพพานไม่เหมือนกันคนหนึ่งแปลว่า อัตตา คนหนึ่งแปลว่า อนัตตา
สิ่งกั้นบังวิสัยทัศน์ คืออัตตา อัตตาเกิดขึ้นเพราะความรู้ซึ่งขาดปัญญา ความรู้ซึ่งขาดปัญญา
เกิดขึ้นเพราะไปท่องจำเลียนแบบเขามา ความรู้ซึ่งมีปัญญา ต้องเกิดจากการเห็นแจ้ง
พระพุทธองค์ทรงแสดง วิมุตตายตนะ คือแดนแห่งวิมุติ ๕ สถานคือ
๑. การฟังธรรม ๒. การแสดงธรรม ๓. การสาธยายธรรม ๔. การตรึกตรองพิจารณาธรรม ๕. การทำกรรมฐาน
ผลของการบำเพ็ญความเพียร ในวิมุตตายตนะกิจนั้นทำให้เกิดปัญญา ๓ สถานคือ
๑. สุตมยปัญญา…ปัญญาซึ่งเกิดจากการได้ยินได้เห็น
๒. จินตมยปัญญา…ปัญญาซึ่งเกิดจากความคิด
๓. ภาวนามยปัญญา…ปัญญาซึ่งเกิดจากการเจริญภาวนา
พุทธศาสนา มิได้สอนเป็นคนจำเก่ง
พุทธศาสนา มิได้สอนให้เป็นคนดี
พุทธศาสนา มิได้สอนให้เป็นคนชั่ว
พุทธศาสนา สอนให้ทำดีละชั่ว ทำจิตให้ผ่องแผ้ว
พุทธศาสนา สอนให้คนพ้นทุกข์
พุทธศาสนา มิใช่เป็นเพียงคำสอน แต่เป็นการปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ ความพ้นทุกข์จึงเป็นเป้าหมายหลัก
ของพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเป็นเจ้าแห่งพุทธะ พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้รู้ รู้ธรรมะ
ธรรมะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พระพุทธองค์สอนให้รู้ว่า อะไรคือตัวทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์
อะไรคือความดับทุกข์ อะไรคือหนทางไปสู่ความดับทุกข์ เมื่อรู้และเข้าใจแล้วว่า อะไรคือตัวทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์
อะไรคือความดับทุกข์ ถ้ามีความเชื่อและศรัทธาอย่างแน่วแน่ว่า ทั้ง ๓ ประการนี้เป็นสัจธรรม ความจริง ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะให้เสียเวลา
นอกจากศึกษาหนทางไปสู่ความพ้นทุกข์ ทำการปฏิบัติและบำเพ็ญเพียร เพื่อให้เกิดมรรคผลขึ้นจริง ถ้าหากว่ามีความประสงค์อยาก
เป็นครูสอนวิชาพุทธศาสนา หรืออยากเป็นนักปรัชญาทางศาสนา หรืออยากเรียนรู้เรื่องทางพุทธประวัติ ก็คงมีความจำเป็นที่จะต้อง
ไปเรียนรู้และค้นคว้าปริยัติธรรมให้มากขึ้น แต่ถ้ามีวัตถุประสงค์เพื่อความพ้นทุกข์แล้วก็ควรศึกษาเรียนรู้เรื่องหนทางที่จะนำไปสู่
การพ้นทุกข์เพียงสถานเดียวเพื่อมิให้เสียเวลา เพราะชีวิตหนึ่งแสนสั้นกว่าจะมีโอกาสเกิดมาเป็นสัตว์ประเสริฐซึ่งเรียกว่ามนุษย์นี้แสนลำบาก
จึงไม่ควรปล่อยให้เวลา และโอกาสผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ บางทีก็เข้าใจว่าอย่างนี้ก็มีประโยชน์ อย่างนี้ก็มีความสำคัญซึ่งไม่เคยปฏิเสธเลย
ว่าไม่มีประโยชน์ ไม่มีความสำคัญ สรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นรูปหรือนามที่มีอยู่ในโลก ในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรแม้แต่หนึ่งอย่างที่ไม่เกี่ยวข้อง
กับชีวิตมนุษย์โดยทางตรงทางอ้อมแล้ว ทุกอย่างมันเอื้อประโยชน์กันอยู่ จึงทำให้บุคลไปหลงติดกับประโยชน์นั้นๆ จนทำให้เกิดทุกข์
บางคนมีความรักความห่วงใยในพระพุทธศาสนามาก มีโอกาสเดินทางไปประเทศอินเดียซึ่งเป็นสถานที่กำเนิดของพระพุทธศาสนา
ไปเยี่ยมชมพุทธสถานเก่าแก่ ซึ่งหลงเหลือมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เลยเข้าใจว่าศาสนาวัตถุต่างๆ เป็นตัวทำให้พุทธศาสนาดำรงอยู่
มาจนถึงทุกวันนี้ จึงทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจสร้างศาสนาวัตถุอย่างมากมาย โดยมีความเข้าใจว่าเป็นการจรรโลงพระศาสนา
และเป็นการเสริมสร้างบารมีให้กับผู้สร้าง ศาสนาวัตถุมีความสำคัญ มีประโยชน์ เป็นเครื่องมือประกอบในการเผยแพร่พระศาสนา
แต่ถ้าต้องไปเป็นทุกข์เพราะอยากจะสร้าง และทุกข์เพราะไปนั่งเฝ้าวัตถุ มันมิใช่หลักการพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น
เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นทุกข์ มิใช่ทำให้เพิ่มทุกข์ ความพ้นทุกข์มันเกิดขึ้นที่จิต มิได้เกิดขึ้นเพราะมีวัตถุ จึงต้องเน้นสร้างที่จิต
ไม่ใช่เน้นสร้างที่วัตถุ วันที่เจ้าชายสิทธัตถะยิ่งใหญ่ที่สุด คือวันที่พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระศาสดาผู้ยิ่งใหญ่
เป็นวันที่พระองค์ไม่มีอะไรเลย ความเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ไม่มี วัตถุแม้แต่ชิ้นเดียวก็ไม่มี วันที่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจาก
พลังจิตของพระองค์ มิได้เกิดขึ้นจากพลังวัตถุ วัตถุได้เกิดขึ้นมาทีหลังตามเหตุปัจจัยที่ต่างกัน แต่หลักการของการสร้างศาสนาวัตถุ
ก็เพียงเพื่อให้เป็นเครื่องมือประกอบเพื่อจรรโลงและสนับสนุนทางไปสู่ความไปสู่ทางพ้นทุกข์ให้มีความสะดวกขึ้น เพื่อให้ทันยุคทันสมัย
เท่านั้นเอง
อินเดียเป็นเมืองแม่ เป็นเมืองแห่งกำเนิดของพระพุทธศาสนา มีศาสนาวัตถุมากมาย แต่พระพุทธศาสนาก็ล่มสลายไปจาก
เมืองแม่เป็นเวลาเนิ่นนาน ที่เริ่มเกิดขึ้นอีกมิใช่เป็นเพราะมีศาสนาวัตถุ แต่เป็นเพราะพุทธบริษัทเป็นผู้จรรโลง ทุกอย่างจึงจบอยู่ที่คนมิใช่
วัตถุ ถ้าพุทธบริษัททั้งหลายอยากสร้างบารมีโดยการช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ต้องช่วยกันสร้างคนมิใช่ไปเน้นสร้างวัตถุ
วัตถุสมควรสร้างแค่ให้เป็นเครื่องมือในการสร้างคน ไม่ใช่สร้างเพื่อความยิ่งใหญ่ของวัตถุ
กรรมฐาน คือการกระทำที่ฐานใดฐานหนึ่ง หรือหาอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง มาเป็นฐานเพื่อการกระทำ เพราะกรรมก็คือการกระทำ
ฐานก็คือที่ตั้งของการกระทำ กรรมฐานที่นิยมนำมาใช้กัน ตามที่ตำราได้ยกตัวอย่างบันทึกไว้ก็มี ๔๐ อย่าง เช่น กสิน ๑๐ อสุภ ๑๐
อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูป ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุวัฏฐาน ๑ บางอย่างก็ใช้ได้ในขั้นสัมมถะกัมมัฏฐาน
บางอย่างสู่ขั้นวิปัสสนากัมมัฏฐาน
วิปัสสนา คือ การเพ่งเล็ง พิจารณาให้รู้ถึงความจริงของรูป นามที่เป็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเข้าถึงหรือเข้าใจในไตรลักษณ์แล้วว่า
สรรพสิ่งหรือรูปนาม มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ได้ยาก และไม่ใช่ตัวตนที่แน่นอน ทำให้จิตจางคลายความยึดมั่นถือมั่น
ว่าเป็นตัวเป็นตน ว่าเป็นของๆ ตน ซึ่งเป็นต้นเหตุของความอยากมีอยากเป็น อยากรักษาไว้ ซึ่งสำคัญผิดว่าเป็นของๆ ตน จึงเป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์
เมื่อปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนแล้ว จิตก็เข้าถึงที่สุดแห่งความพ้นทุกข์ ความพ้นทุกข์จึงเป็นเป้าหมายสูงสุดของการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน
วิปัสสนา กัมมัฏฐาน จึงเป็นส่วนหนึ่งของหนทางไปสู่ความพ้นทุกข์
ภูมิอันเป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์วิปัสสนานั้น ได้แก่ ขันธ์5 อายตนะ12 ธาตุ18 อินทรีย์22 อริยสัจ4 ปฏิจจสมุปบาท12
ซึ่งผู้ปฎิบัติต้องค้นคว้าเอาเอง อย่างไรก็ดีภูมิหรือหลักธรรมต่างๆ เหล่านี้ จัดไว้เป็น 2 ประการ คือ รูปและนาม
รูป คือ ลักษณะที่เข้าไปเห็น
นาม คือ ลักษณะที่เข้าไปรู้
เช่น ตาเห็นรูป จิตรู้รูป ตาจึงจัดเป็นรูป จิตจึงจัดเป็นนาม
ในการพิจารณารูปนามในทางวิปัสสนาทำให้เกิดญาณทัศนะขึ้นไป เป็นวิปัสสนาทำให้เกิดญาณทัศนะ
ขึ้นไปเป็นลำดับ เมื่อเราใช้อายตนะมาเป็นอารมณ์ หรือเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกระทำวิปัสสนา
จึงเรียกว่า “อายตนะวิปัสสนากัมมัฏฐาน”
อายตนะ ๑๒ ซึ่งอยู่ในหมวดธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐานซึ่งเป็นฐานหนึ่งที่ใช้มาเจริญวิปัสสนา
อายตนะแบ่งเป็น อายตนะภายนอก ๖ คือ รูป กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์
และอายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เมื่ออายตนะภายนอกเกิดขึ้น (ซึ่งเป็นปัจจัย) มากระทบอายตนะภายใน (ซึ่งเป็นเหตุ) มันจะเกิดผัสสะขึ้นเป็นจังหวะแพลบๆ
เกิดดับ เกิดดับ อาการเกิดดับตามปกติก็เท่ากับหนึ่งวินาทีของโลก
วิญญาณ คือ ตัวรู้ ตัวรู้ทั้ง ๖ คือ
๑. จักขุวิญญาณ คือ ความรู้สึกอาศัยตา
๒. โสตวิญญาณ คือ ความรู้สึกอาศัยหู
๓. ฆานวิญญาณ คือ ความรู้สึกอาศัยจมูก
๔. ชิวหาวิญญาณ คือ ความรู้สึกอาศัยลิ้น
๕. กายวิญญาณ คือ ความรู้สึกอาศัยกาย
๖. มโนวิญญาณ คือ ความรู้สึกอาศัยใจ
ผัสสะ คือ ความกระทบ กิริยาที่กระทบ ความประจวบกันแห่งอายตนะภายในอายตนะภายนอกและวิญญาณ ผัสสะทั้ง ๖ คือ
๑. จักขุสัมผัส คือ ความกระทบทางตา
๒. โสตสัมผัส คือ ความกระทบทางหู
๓. ฆานสัมผัส คือ ความกระทบทาจมูก
๔. ชิวหาสัมผัส คือ ความกระทบทางจมูก
๕. กายสัมผัส คือ ความกระทบทางกาย
๖. มโนสัมผัส คือ ความกระทบทางใจ
เมื่ออายตนะภายนอกมากระทบอายตนะภายใน เสร็จแล้วกระทบตัวรู้ คือ ตัววิญญาณ ขบวนการที่กระทบกันนี้ เรียกโดยรวมว่าผัสสะ
ในร่างกายเรายังมีแงสืบต่อที่ซับซ้อน ซ้อนทับกันอยู่ โดยเป็นแรงสืบต่อที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมโยงสภาพรู้ ระหว่างธาตุรู้ของอายตนะ
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมอง กับธาตุรู้ที่ใจ โดยใจนั้นจะเป็นศูนย์กลางของธาตุรู้ เพราะธาตุรู้รวมตัวกันอยู่ที่ใจมากที่สุด เมื่อเกิดผัสสะขึ้น
ที่อายตนะที่ใดก็ตาม แรงสะเทือนจากากรกระทบผัสสะ จะกระตุ้นธาตุรู้ที่อายตนะตรงจุดนั้นให้เกิดสภาพรู้ สภาพรู้นั้นก็จะส่งแรงสืบต่อ
เคลื่อนเข้ามาที่ใจ กระทบธาตุรู้ที่ใจ หรือที่เรียกว่ามโนวิญญาณ ทำให้เกิดสภาพรู้ขึ้นอีกทีหนึ่ง เช่น
เมื่อหูได้ยินเสียง ธาตุรู้ที่หูถูกกระทบ
ด้วยเสียง ธาตุรู้ที่หูก็ทำงาน เกิดสภาพรู้ที่หูขึ้นว่าเป็นเสียง แรงสืบต่อจะส่งสภาพรู้ดังกล่าวไปเกิดสภาพรู้ที่ใจอีกที ถึงจะเกิดการได้ยินขึ้น
อย่างสมบูรณ์ว่าเป็นเสียงอะไร ชอบหรือไม่ชอบ เมื่อกระทบที่ใจแล้วสภาพรู้ก็จะหวนกลับมาที่หู และวนไปสู่ทีใจอีก วิ่งวนเช่นนี้เรื่อยไป
การวิ่งวนเช่นนี้เป็นแรงสืบต่อของอายตนะ และเป็นแรงที่คอยดึงจิตให้เข้ามายึดเกาะกับขันธ์ ๕ เช่นเดียวกัน จึงต้องมีสติกำหนดรู้เท่าทัน
สันตติแรงสืบต่อของรูปนาม อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้จิตไปยึดเกาะกับขันธ์ห้า พิจารณากำหนดรู้ความไม่เที่ยงของรูปนาม คือ เกิดดับ
เกิดดับ เป็นเนืองนิตย์เกิดความชำนาฯกลายเป็นความปกติ ความไม่เที่ยงของรูปนามก็จะแสดงตัวให้เห็นอย่างเด่นชัดตลอดทั้งลมหายใจ
เข้าลมหายใจออก
ประสาทหูเป็นแค่ตัวดึงเสียง มิใช่ตัวได้ยิน ตัวได้ยินคือตัววิญญาณหูหรือที่เรียกว่าโสตวิญญาณ ส่วนตัวรู้และรับอารมณ์
จากการได้ยินเสียงนั้น คือ ตัวรู้ที่ใจ หรือที่เรียกว่ามโนวิญญาณ เวทนาจึงเกิดขึ้นที่ใจ สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ปรุงขึ้นที่ใจ และอาศัยใจ
เป็นที่อยู่ เช่น เวลาเรานอนหลับสนิทหรือสลบไป ทำไมจึง ไม่ได้ยินเสียง ทั้งๆ ที่ประสาทหูก็ยังอยู่เหมือนเดิม มิได้ถูกทำลาย แต่ถ้าเรา
นอนหลับแต่ไม่สนิท เวลามีเสียงดัง ก็สักแต่ว่าได้ยิน เพราะวิญญาณหูคือโสตวิญญาณ ยังทำงานอยู่ แต่มโนวิญญาณหรือวิญญาณที่ใจ
ไม่ทำงาน ก็ไม่ได้สนใจเนื้อหาสาระของเสียง แต่ถ้าเราตื่นอยู่ มโนวิญญาณหรือวิญญาณที่ใจเจ้าไปรับรู้กับเสียงที่เกิดขึ้น ก็รู้เป็นเรื่องเป็นราว
ว่าเสียงอะไร มาจากทิศไหน ชอบหรือไม่ขอบ อารมณ์เวทนาก็เกิดขึ้น
ตัวรู้ซึ่งเกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย อายตนะทั้ง ๕ เมื่อถูกกระทบโดย
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แล้วผัสสะเกิดขึ้นกับวิญญาณหรือตัวรู้ทั้ง ๕ เป็นตัวรู้ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติไม่มีการปรุงแต่ง บริสุทธิ์
เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น รู้รสก็สักแต่ว่ารู้รส สัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส ไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ไม่รู้สุข
ไม่รู้ทุกข์ เช่นเมื่อมีรถสีเขียวคันหนึ่งวิ่งมา สิ่งนั้นคือ รูป มากระทบตา เกิดผัสสะขึ้นที่จักขุวิญญาณ หรือตัวรู้ที่ตา ก็สักแต่ว่าสิ่งหนึ่งกำลังวิ่งมา
คำว่ารถไม่รู้จัก สีเขียวก็ไม่รู้จัก พอสันตติสืบต่อตัวรู้ที่ตานี้ไปสู่ตัวรู้ที่ใจหรือมโนวิญญาณ ซึ่งมีสัญญาเดิมซึ่งบันทึกไว้โดยขันธ์ ๕
อยู่ก่อนแล้วเหมือนเราบันทึกโปรแกรมใส่ไว้ในคอมพิวเตอร์ ตัวรู้ที่ใจมันก็บอกทันทีว่าสิ่งนี้เรียกว่ารถ สีนี้คือสีเขียว รวมกันเรียกรถสีเขียว
แต่ถ้าเป็นชาวอังกฤษ ตัวรู้ที่ใจของก็จะบอกว่าสิ่งนี้เรียกว่า “กรีนคาร์” แปลเป็นไทยก็คือรถสีเชียวเหมือนกัน แต่เขาถูกขันธ์ ๕ ของเขาบันทึก
โปรแกรมตามภาษาของเขา การเปล่งวาจาออกมาจึงไม่เหมือนกัน ถ้าคนๆ นั้นบันทึกสัญญาไว้ว่าไม่ชอบสีเขียว ถ้าคุณพ่อซื้อรถสีเขียวให้ก็จะ
มีอาการเวทนาเกิดขึ้น คือมีอารมณ์ไม่ชอบเกิดขึ้น ถ้าความไม่ชอบมีมาก ก็สามารถปรุงไปสู่ขั้นมีทุกข์ได้
ในเรื่องเดียวกัน ถ้ารถสีเขียวคันนั้น
วิ่งมา เด็กน้อยคนหนึ่งซึงมโนวิญญาณยังบริสุทธิ์ ยังไม่ถูกปรุงแต่งหรือถูกบันทึกสัญญาโดยขันธ์ ๕แล้วสักแต่ว่าเห็นสิ่งๆ หนึ่งกำลังวิ่งมา
เรียกว่าอะไรไม่ต้องรู้ สีอะไรก็ไม่ต้องรู้ เขาก็ไม่ต้องมีทุกข์เพราะชอบหรือไม่ชอบ อยากได้หรือไม่อยากได้ จริงๆ แล้วคนคิดเป็น คือคนไม่คิด
ไม่ใช่คนคิดเก่ง คนคิดเก่งยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ เรียกว่าคนคิดไม่เป็น
เมื่อเราได้ทำความรู้จักขบวนการทำหน้าที่ของอายตนะภายในทั้ง ๖ ดีแล้ว รวมทั้งการทำหน้าที่ของสันตติแรงแห่งความสืบต่อของกาลเวลา
ซึ่งมีความเร็วมากทั้งหมดคือภาคทฤษฎีที่ควรจะรู้ ต่อไปนี้ก็จะพูดถึงความรู้ที่จะนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อให้เกิดมรรคผลอย่างแท้จริง
เมื่อเราทำจิตใจให้เกิดความสะอาด สว่าง สงบ เป็นหนึ่งเดียวกับอารมณ์ของใจแล้ว จะเห็นว่าจิตเป็นสุขมาก ยิ่งลึกเข้าไปเท่าไหร่ยิ่งเกิดความสุข
แต่ปัญญาไม่ได้เกิดเพราะไปติดสุขข้างในใจ การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่หวังผลที่จะให้สุขส่วนเดียว หามิได้ ทุกข์จะไม่พ้น เพราะสุขกับทุกข์อาศัย
ต่อเนื่องกันอยู่ เราควรหาอุบายให้จิตหลุดพ้นจากความสุขและความทุกข์ โดยวิธีวิปัสสนา
เริ่มจากดึงความสงบที่เคยได้จากการฝึกสมถะกัมมัฏฐานสงบที่ใจมาสู่ความรู้สึกจากภายนอกคือที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมอง
เมื่อมาสู่ความรู้สึก ภายนอกตามตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งที่จิตชอบมาก เช่น ที่หู ก็เอาจิตเลื่อนจากใจมาตั้งไว้ที่หู
ความรู้สึกก็คือจิต จะเห็นว่าหูถูกกระทบจากเสียง ถูกจุดนี้เป็นจังหวะแพลบๆ เกิดดับ เกิดดับถ้าเราใส่เจตนาลงไปจุดนั้น
จะเกิดดับ เกิดดับ เร็วขึ้น ถ้าใส่เจตนาเบาๆ จะเกิดดับ เกิดดับช้าๆ ถ้าเราไม่ใส่เจตนา อาการเกิดดับก็เท่ากับเวลาของโลกหนึ่งวินาที
ในทำนองเดียวกันถ้าเราเอาจิตไปตั้งไว้บนฐานของจมูก ลมหายใจคือ อายตนะภายนอก จมูกคือ อายตนะภายใน เมื่อกระทบกันก็จะเกิดแรงดึง
แพลบๆ เกิดดับ เกิดดับที่ฐานอารมณ์ที่โพรงจมูก เมื่อเราดึงจิตมาสู่ความรู้สึกภายนอกแล้ว อย่าพยายามเข้าไปสู่ข้างในอีก เพราะนิสัยเคยชิน
ที่จิตติดสุข อารมณ์ของใจจะดึงเอาไว้ไม่ให้ออกมาจะทำให้เราไม่มีปัญญาเห็นอาการเกิดดับ หรือความไม่เที่ยงของรูป นาม เมื่อเราเอาความรู้สึก
มาอยู่ภายนอก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมอง ความสุขที่เคยได้จากใจจะไม่ได้แล้วมีแต่ความรู้สึกเป็นปัจจุบันขณะ เห็นอาการเกิดดับของรูป
นาม ไปตามจุดต่างๆ เช่นที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมอง ถ้าเราอยากจะเข้าไปสู่ในใจ ก็อย่ากดจิตเข้าไปให้สนิทแนบแน่นเหมือนแต่ก่อน
ให้ไปกระทบใจเบาๆ เห็นว่าใจถูกกระทุ้ง เกิดดับ เกิดดับ จากอารมณ์ที่มากระทบ เป็นปัจจุบันขณะอย่าบังคับจิตอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆทำเป็นปกติ
อิสระ เห็นอาการ เกิดดับ เกิดดับ อยู่เนืองนิจตลอดสาย เหมือนชีพจรเต้น ถ้าคนไหนไม่รู้จะเจริญสติให้เป็นปกติ ให้จับชีพจรของตนเอง
แล้วทำจิตให้กระทบประสาทสัมผัส ให้เท่ากับจังหวะการเต้นของชีพจร แสดงว่าเป็นปกติแล้ว เมื่อเราทำดั่งนี้นานๆ ก็จะเป็นการเจริญสติปัฏฐาน
ไปเรื่อยๆ มีโอกาส ที่จะทำให้จิตหลุดพ้นมีดวงตาเห็นธรรมได้เหมือนกัน แต่ต้องใช้เวลาปฏิบัติมากหน่อย เราควรเร่งสติให้เร็วขึ้น เพื่อทำให้จิต
ได้หลุดพ้นเร็วขึ้นเพราะเวลาไม่คอยใคร
เราได้ทำความเข้าใจมาแล้ว ระหว่างความรู้สึกภายนอก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมอง สัมพันธ์กับความรู้สึกภายในคือ ใจ เมื่อเราดูอาการเกิดดับ
เกิดดับ จากความรู้สึกภายนอก มันจะพยายามเข้าไปสัมพันธ์กับความรู้สึกภายในเสมอ เช่น หูกระทบด้วยเสียงมันจะกระเทือนเข้าไปถึงหัวใจ
แล้วรู้ผ่านใจวนกลับมา ที่เสียงใหม่อีก วนเป็นรอบๆ ในทำนองเดียวกันทาง ตา จมูก ลิ้น กาย สมอง ก็จะถูกกระทบจากรูป กลิ่น รส กายสัมผัส
ความคิด ก็จะวนเข้าสู่ใจเสมอ วนไปวนมาไม่รู้จักจบสิ้น ในทำนองเดียวกัน อารมณ์กระทบใจก็จะวนกลับมาสู่ความรู้สึกภายนอก
แล้ววนเข้าไปใหม่อีกเป็นรอบๆ ลักษณะกรรวนอย่างนี้ ถ้าเราจับได้เป็นประโยชน์ในการเร่งสติมาก
แรกๆ ต้องช่วยมันก่อน คล้ายๆ รถยนต์เครื่องไม่ติด ก็ต้องช่วยมันเข็นก่อน เมื่อเครื่องมันติดแล้ว มันก็จะวิ่งวนไปเอง คือใส่เจตนาของจิต
เข้าไปร่วมกับอาการ วิ่งวน เช่น ถ้าเราเลือกเสียงเป็นตัวกำหนด เราก็กำหนดความรู้สึกไปที่หู แล้ววนกลับมารู้อารมณ์ที่ใจ ตอนแรกๆ
ก็ใส่เจตนาลงไปร่วมวิ่งวนช้าๆ ก่อน เพื่อฝึกให้จิตมีความชำนาญ ร่วมกับอาการวิ่งวน ให้จิตร่วมอยู่กับอาการวิ่งวนนั้นสถานเดียว
อย่าเอาจิตไปใช้ในหน้าที่อื่น ตอนแรกๆ มันจะวิ่งวนไปช้าๆ ร่างกายภายนอกเราก็โยกตามมันไปเพื่อ ให้อาการวิ่งวนคล่องตัวขึ้น
ถ้าชำนาญแล้วมันก็จะวิ่งวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ เราก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของมันอย่าไปดึงมันไว้ ให้จิตมีส่วนร่วมทุกจุดในเจตนา
ที่วิ่งวนไปอย่าให้จิตไปสุดโต่งระหว่างข้างนอกและข้างใน คือวางจิตเป็นกลาง
ถ้าธรรมารมณ์กระทบใจข้างใน เช่น เราโกรธ อารมณ์อัดแน่นในใจ ให้เอาความอัดแน่นนั้นไปวนกับใจ มันจะวนคลายออกมาเหมือน
คลายเกลียวน็อต ถ้าธรรมารมณ์ออกเราเคยกักอารมณ์ต่างๆ ในอดีตไว้ เช่น ร้องไห้ หัวเราะ ความคับแค้นใจ มันจะระบายให้เราเห็นอีก
จะมีอาการร้องไห้ หัวเราะ รำพึงรำพัน หรืออาเจียนและแสดงกิริยาอาการต่างๆออกมาตามอารมณ์ปัจจุบันกาล ก็ไม่ต้องตกใจ
เพราะธรรมารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ในอดีตกำลังไหลออกมา ถ้าหมดแล้วอาจมีการสลัดอารมณ์ จนถึงขั้นล้มหงายหลังได้ บางทีถึงกับทำให้
จิตหลุดพ้น มีดวงตาเห็นธรรมได้ ถ้าทำไปนานๆ ความเร็วของการวิ่งวนจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถรับแรงเหวี่ยงได้ ให้ปล่อยความรู้สึก
ในการวนนั้นเสีย จิตก็จะพุ่งพรวด ออกไปจากแรงเหวี่ยงของการวิ่งวน ถ้าแรงเหวี่ยงมากจิตจะหลุดพ้นจากสภาวะปรุงแต่ง
มีดวงตาเห็นธรรมทันที ถ้าแรงเหวี่ยงมีไม่มาก จิตจะลอยไปอยู่ข้างบน นิ่งอยู่ ถ้าจิตอยู่ที่นั่นนานๆ จะมีแรงสันตติมากระทบที่จิตนิ่งนั้นๆ
ติ๊ก ๆๆ เมื่อเราปล่อยให้มันชนกันไปนานๆ จนหมดแรง จะเห็นว่าจิตลอยเคว้งคว้างไม่มีที่ยึดเกาะ แล้วปล่อยความรู้สึกนั้นเสีย ไม่ต้องเป็นห่วง
ไม่อาลัยอาวรณ์เรื่องอะไรต่างๆ ที่จิตยึดเกาะ ให้ปล่อยวางให้หมด แม้กระทั่งความตายที่จะเกิดขึ้นให้ปล่อยไป เมื่อปล่อยได้แล้วก็จะถึง
สภาวะจิตหลุดพ้นจากสภาวะปรุงแต่งมีดวงตาเห็นธรรม ซึ่งผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้เฉพาะตน
นักปฏิบัติธรรมส่วนมากมีความเข้าใจว่าการเข้าถึงธรรม การเห็นธรรมนั้น ต้องมีใจเป็นผู้เข้าถึงและเห็นใจหรือมโนนั้นเป็นอายตนะภายใน
ซึ่งเป็นเหตุรับปัจจัยเท่านั้นและเป็นของร้อน พระพุทธองค์ตรัสว่ามโนเป็นของร้อน ดังนั้นความเข้าใจว่าได้ธรรมที่ใจนั้นเป็นของร้อน
เหมือนน้ำ ซึ่งทำให้เย็นก็เป็นน้ำแข็งได้ ถ้าร้อนก็ทำให้เดือดได้ฉันใด ใจก็เช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าเราทำให้ สงบ สว่าง สะอาด ก็เย็นใจ
ถ้าวุ่นวายทุศีล อารมณ์มืด ก็ร้อนใจ ซึ่งเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลง จึงมิใช่ธรรมแท้จริง บางทีก็เข้าใจว่าจิตกับใจคืออันเดียวกัน แต่แท้จริงแล้ว
เป็นคนละส่วน ที่เราเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอันเดียวกัน เพราะเรากดจิตให้อยู่กับใจนานๆ ไม่ให้มันส่งออก ตามธรรมชาติของจิตจะเป็นอิสระ
สามารถรับอารมณ์จากทวารทั้ง ๖ ได้เป็นอิสระ ถ้าเรากดให้มันอยู่กับใจ จะทำให้ฝืนธรรมชาติของจิต จะทำให้ไม่หลุดพ้นได้ง่าย
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า บรรพชิตไม่ควรเสพสิ่งสุดโต่ง ๒ ส่วน ข้างนอก เช่นการทรมานร่างกาย ติดทุกข์ หรือสุดโต่งข้างในใจ
คือเอาจิตนิ่งรวมกับใจติดสุขเป็นฌาน ถ้าไปติดส่วนสุดโต่งทั้งสองส่วนแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้นได้ เมื่อใดที่จิตไม่สุดโต่งทั้งสองข้างแล้ว
ความเห็นจะเป็นกลาง และสามารถทำให้จิตหลุดพ้นมีดวงตาเห็นธรรมได้
เมื่อรู้ทางไปสู่ความพ้นทุกข์แล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมเดินทางสักที มรรคผลก็คงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ มัวแต่ทำเพื่อพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นของไม่จริง ไม่เคยคิดที่จะทำเพื่อชาติหน้า ซึ่งเป็นอนาคตชาติที่แท้จริง ถ้าเกิดพลาดพลั้งเสียชีวิตก่อนอายุขัยที่ควรจะเป็น คงเป็นที่น่าเสียดายชาติเกิดอย่างยิ่ง เพราะกว่าจะเกิดมาในภพมนุษย์ได้นั้นไม่ง่ายนัก