ถาม : การวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม เราวัดกันที่พฤติกรรมนอกศาลา ว่าเรามีความประพฤติดีขึ้นกว่าเดิม กาย วาจา ใจ ว่าเป็นกุศลมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ใช่มั๊ยคะ ไม่ได้วัดกันที่ท่าทางในศาลาว่า จะหมุนเร็วขึ้นหรือเปล่า รำมวยท่ายากๆขึ้นหรือยัง โยคะท่าไร้กระดูกแล้วหรือยัง
ดิฉันเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมคือการพัฒนาจิตที่นำไปสู่การกระทำที่ดี ที่เป็นกุศลแบบถาวรตลอดชีวิต ดังนั้นจึงเข้าใจว่า แม้ว่าท่าทางในกรรมฐานของดิฉันจะคล่องแคล่วเชี่ยวชาญมากขึ้นเท่าใด แต่หากพฤติกรรมนอกศาลาของดิฉันยังไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่จะดีขึ้น ก็ยังไม่นับว่าจิตของดิฉันได้รับการพัฒนาแต่อย่างใด จึงขอกราบเรียนถามพ่อครูเพื่อความกระจ่าง ขอกราบขอบพระคุณค่ะ
ตอบ : อันนี้คือความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว ส่วนมากการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เราเข้าถึงความเป็นปกติของธรรมชาติ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมข้างนอกที่เราไม่ปกติ ทุกวันนี้จิตเราเกิดมาใหม่ๆ เราเรียกจิตเดิมก็ได้ เด็กเกิดมาใหม่ๆเหมือนผ้าขาวผืนนึง แต่มีจุดด่างจุดนึง จุดด่างตรงนี้คือกระแสกรรม มันไม่ใช่จิต มันเป็นจิตเดิม พอเกิดมาปุ๊ปเขาก็ตั้งชื่อให้เรา ให้เรานับถือศาสนา สอนประเพณีวัฒนธรรม สอนภาษาให้เรา ระบายสีๆๆๆๆๆ ส่งเราไปเรียนวิชาสร้างอนาคต สอนให้เรา รู้นี่สีแดง สีเหลือง สีขาว สีอะไรๆ ไอ้ความรู้เหล่านี้มันเป็นสิ่งปรุงแต่ง จากจิตเดิมกลายเป็นจิตปรุงแต่ง เห็นมั๊ย ชีวิตเราเลยกลายเป็นไม่ได้ทำตามธรรมชาติ เราทำตามปรุงแต่งหมด ตามอวิชชาข้อมูลที่เรารู้ผิด
เราคิดตามภาษา พูดตามภาษา ทำตามภาษา ภาษาไทยเหมือนกัน ภาษาไทยเมื่อ 60 ปีก่อนกับภาษาไทยปัจจุบันนี้ก็ไม่เหมือนกัน ตัวอักษรเหมือนกัน ภาษาวัยรุ่น ภาษาอะไรเนี่ย ภาษามันเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปตามเหตุและปัจจัย เป็นภาษาทุนนิยม วัตถุนิยม เห็นมั๊ย ชีวิตเรามันไม่ใช่ความจริง มันไม่ใช่ธรรมชาติ ชีวิตเรา เราเป็นตัวที่ปรุงแต่งแล้ว มันเป็นสิ่งปรุงแต่ง ทีนี้มันปรุงแล้วทำอย่างไร
พระพุทธเจ้าก็ไปตรัสรู้สิ่งนี้ สมัยพุทธกาลเขาก็ปรุงแต่งนะ สองพันกว่าปีเขาก็ปรุงแต่ง แต่เขาปรุงแต่งไม่เยอะ บางคนถามว่า สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าเทศน์เบาๆเอง บรรลุธรรม บรรลุกันเป็นว่าเล่น เพราะตอนนั้นเขาไม่มีกาวตราช้าง เขามีแป้งเปียกเฉยๆ มันไม่ได้ติดขนาดนี้ ทุกวันนี้เอาค้อนยางตีปังๆๆ ก็ยังไม่ตื่นเลย มันเหนียวหนึบหนับเลยเพราะภาษามันเปลี่ยน ความต้องการความทะยานอยากมันมากขึ้น
พระพุทธเจ้าก็ไปตรัสรู้สิ่งนี้ก็เลยบอกว่า พระองค์รู้วิธีแก้ ก็คือทำดี ละชั่ว ขัดเกลาจิตให้ผ่องใส ทำดีคือสร้างกำลัง ให้เรามีกำลังเพื่อที่จะเดินทางเป็นเสบียง ละชั่วเนี่ยอย่าไปสร้างภาระใหม่ อย่าไปสร้างกรรมใหม่เพื่อให้มันไปแบกๆ ยังไม่พอนะต้องขัดเกลาจิตให้ผ่องใส คือขัดโปรแกรมต่างๆที่เราถูกใส่มาตั้งแต่กำเนิด ไอ้ของเก่าก็หนักหนาสาหัส เราแบกกรรมมาด้วย ผ้าขาวผืนนี้มันยังไม่บริสุทธิเต็มที่มันมีจุดด่าง แทนที่จะเอาจุดด่างนั้นออก ก็ไปเพิ่มเยอะแยะเลย ระบายสีจนเราจำไม่ได้ว่าเราคือใคร ชีวิตเราก็เลยไม่เป็นปกติ ชีวิตคิดตามปรุงแต่ง พูดตามปรุงแต่ง ทำตามปรุงแต่ง
เมื่อเราปฏิบัติธรรมแล้ว เราขัดเกลาจิตให้ผ่องใส เราพัฒนาจากจิตปรุงแต่งกลายเป็นจิตหลุดพ้น ” จิตหลุดพ้น ดวงตาเห็นธรรม ” ไม่ใช่บรรลุธรรมขั้นสูงสุด ขั้นต่ำสุดคือดวงตาเห็นธรรม
จิตเห็นจิต คือมรรค ผลของจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งคือนิโรธ
เมื่อเราเข้าสู่กระแสมรรค เราบรรลุธรรมเบื้องต้นแล้ว ปฏิบัติต่อไป ถ้าถึงขั้นสุดท้ายแล้ว จิตก็เข้ากลับไปสู่สภาวะเดิมของเขาคือ จิตเดิมแท้ คำว่าจิตเดิมแท้ ปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป กระดาษขาวเนี่ยยังวาดได้เห็นมั๊ย อันนี้มันว่าง มันวาดกับอะไร ไม่มีอะไรวาดแล้ว นั่นเรียกว่าจิตเดิมแท้
ก็……อย่าไปหลงสภาวะที่เราปฏิบัติ อย่าไปวัดตรงนั้นว่าเราเห็นโน่นเห็นนี่ เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ชั้นไหน เราเป็นผู้วิเศษอะไรนั่นน่ะ
พ่อครูบอกแล้ว ” ปฏิบัติต้องนำไปประพฤติ ต้องดูพฤติกรรมข้างนอกหลังจากปฏิบัติ แล้วเราเปลี่ยนมั๊ย เขาวัดความก้าวหน้ากันตรงนั้น ” ไม่ใช่วัดว่า ฉันเห็นโน่นเห็นนี่ แล้วก็ไปหลงมันอีก อันนี้เลวร้ายยิ่งกว่าไม่ต้องไปเห็นดีกว่า อันนี้เขาเรียกว่าหลงสภาวธรรม ติดตัวรู้ ตัวเองหลงไม่พอ ก็ไปพาคนอื่นหลงด้วย สร้างกรรมใหม่อีก เป็นการหวังดีประสงค์ร้าย ก็ไม่ได้ผิดอีก เป็นกรรมร่วม มันสร้างกรรมร่วมกันมาแล้วมันค่อยไปดึงกันเข้ามา เอาตัวเองให้พ้นก่อน แล้วเราจะมีส่วนเกินที่จะแบ่งปันคนอื่นที่มันบริสุทธิ์
พ่อครูบัญชา ตั้งวงษ์ไชย