รู้จักพ่อครูบัญชา ตั้งวงษ์ไชย
พ่อครูบัญชา ตั้งวงษ์ไชย เป็นชาวอุบลโดยกำเนิด เกิดปีพ.ศ. 2493 มีพี่น้อง 4 คน เป็นคนโต ช่วงหนึ่งมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำการค้ากับต่างประเทศ
ต่อมาไปอยู่ที่อุบลราชธานีเป็นนักการเมืองท้องถิ่น(สจ.ในปีพ.ศ. 2523-2526) เป็นอยู่ 3 ปี จึงเข้าสมัครผู้แทนแต่สอบตก ทางคุณแม่ที่อยู่สหรัฐอเมริกา
แจ้งให้ไปรับบัตรเขียว ตอนแรกก็ตั้งใจจะไปแค่ 1 เดือน แต่ความเป็นแม่ที่รักและห่วงลูกมาก ที่ไปเล่นการเมือง ขณะนั้นจังหวัดอุบลก็มีแต่เจ้าพ่อ
ไม่รู้จะโดนเขาฆ่าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ความเป็นแม่ขอร้องก็เลยต้องทิ้งทุกอย่างทั้งความดีและไม่ดีที่เราสร้างมา ไปนั่งนับหนึ่งใหม่เพื่อสนองคุณแม่ที่โน่น
เป็นความรู้สึกที่ทุกข์มาก ตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่าไม่ได้กลับมา เคยไปอเมริกาบ่อยๆแต่ไม่ชอบเลย เราเป็นคนมีอัตตา มีตัวตนว่าเราเคยเป็นผู้บริหารจังหวัด
เคยค้าขายกับต่างประเทศ ไปที่โน่นต้องนับหนึ่งใหม่หมดทั้งภาษา วัฒนธรรม ประเพณี มันเป็นอารมณ์ที่ไม่พึงพอใจ ตื่นเช้าขึ้นมาก็เห็นตาน้ำข้าวผมสีทอง
เราไปแยกเองว่ามันไม่ใช่บ้านเรา เหมือนเราไปอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ อารมณ์ตรงนั้นเกิดกับตนเอง 8 ปีเต็มๆในขณะที่ธุรกิจเริ่มแรกที่บ้านทำร้านอาหารไทย
ชีวิตเราเลยเปลี่ยนหมด ต้องวิ่งทำงาน เปิดกี่ร้านก็เต็ม
ในระหว่างนั้นก็ทำธุรกิจคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นอาชีพที่กำลังพัฒนาในประเทศตอนใต้ของอเมริกา โดยใช้ยี่ห้อ TANGคอมพิวเตอร์
มาจาก ตั้งวงษ์ไชย และ TWC สิ่งต่างๆเราคิดไม่ถึงว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่มันเกิดขึ้นเองทำให้เราได้ลิ้มรสความสำเร็จทางด้านวัตถุนิยม
ใช้เงินซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า เพราะเราถูกสอนว่าสะดวกสบาย 40 ปีที่วิ่งไปตามโลก โดยเฉพาะที่ค้าคอมพิวเตอร์นี่ทุกข์มาก
เนื่องจากเขาเปลี่ยนรุ่นใหม่ทุกวัน ถ้าเราช้ากว่าเขา 1 ก้าวถือว่าเรียบร้อย ถ้าเร็วกว่าเขา 1 ก้าว ถือว่ามหาศาล
ทำให้เห็นว่าเขาทำมาขายไม่ได้ทำมาใช้ เทคโนโลยีสร้างให้มันทนไม่ได้เพราะมันเปลี่ยนรุ่นใหม่อยู่เรื่อย ต้องอัพเกรดเอามาใช้แล้วก็ทิ้ง
ขยะก็เลยล้นโลก ต่อสู้กับชาวต่างชาติทั้งด้านอาหารและคอมพิวเตอร์สรุปว่าคนไทยถ้าเราใช้สไตล์แบบเราจะไม่แพ้ชาติไหนในโลกนี้
แต่ทุกวันนี้เราไปแพ้เขา เพราะเราไปตามเขา
“FOLLOW IS MEAN BEHIND
= ตามแปลว่าไม่ทัน”
เราเห็นอะไรหลายๆอย่าง แต่ก็ยังทุกข์ทั้งๆที่เงินเต็มบ้าน ตอนนั้นมุ่งแต่หาเงิน กอบโกยอย่างเดียว มีเงินก็เอาเงินซื้อความสุข เราทำทั้งสองด้าน
ด้านเอาเงินซื้อความสุขเราก็ซื้อ มันก็เหมือนสุขแป๊บเดียวก็ทุกข์อีก มันกลบเกลื่อนได้ชั่วคราว อาจจะเป็นอัตตาตัวตนที่เราต่อต้านสิ่งแวดล้อมแบบนั้นอยู่แล้ว
มองอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด แต่ในแง่ธุรกิจแล้ว อาจจะเป็นบุญเก่าทำให้เราราบรื่นไปหมด ครอบครัวไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน
แต่ลึกๆมันบอกว่าชีวิตอย่างนี้ไม่ใช่ เราก็ถามว่าแล้วแบบไหนมันใช่ บางทีเบื่อมา ก็บินไปลาสเวกัส เอาเงินไปเล่นการพนันให้มันลืมซักพักก็กลับมา
พอกลับมาก็เครียดอีก ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า มันก็กลบเกลื่อนได้ชั่วคราว ถึงแม้จะสำเร็จในแง่ตัวเงิน แต่ในแง่ชีวิตเสื่อมโทรมมาก
เพราะความอยากได้ของเรา นี่ก็เป็นประสบการณ์ช่วงที่อยู่ที่โน่น อย่างน้อยๆสรุปได้ว่า
“จนแปลว่าไม่มี ไม่ได้แปลว่าทุกข์
รวยแปลว่ามีเยอะไม่ได้แปลว่าสุข”
แล้วอะไรคือสุขแท้ เราตอบไม่ได้ เพราะตอนนั้นเรายังโง่อยู่ พอถึงวันที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงนั้น คือ ผมเบื่อเต็มที่ กลางวันต้องบริหารคอมพิวเตอร์
กลางคืนต้องแยกย้ายไปคุมร้านอาหารคนละร้าน เพราะความอยากได้ กลับบ้านเที่ยงคืนถึงตีหนึ่งทุกวัน หิ้วถุงเงินกลับบ้านเพราะส่วนใหญ่ 70%
เป็นเงินสด พอเริ่มเยอะขึ้น แมลงสาบก็ไปกัดถุงเงินขาด เหม็นไปทั้งบ้านไม่ใช่เราดูถูกเงินนะ ไม่ได้เหม็นเงิน แต่เงินมันเหม็นมาก ขอทานก็จับ
คนล้างจานก็จับ เศรษฐีก็จับ เชื้อโรคทั้งนั้น แต่เราก็ชอบยิ่งทุกข์มากขึ้นอีก คืนที่เบื่อที่สุด พอปิดร้านอาหารแล้ว เด็กๆกลับบ้าน ผมก็ล็อคประตู
ห้องอาหาร เราแต่งเป็นแบบเรือนไทย มีแท่นพระพุทธรูปอยู่ ในช่วงนั้นน้องชายผมไปปฏิบัติธรรมกับพระภิกษุ คุณแม่เป็นห่วงมาก
กลัวไปโดนหลอก ต้มตุ๋น เราเลยต้องไปสังเกตการณ์ บังเอิญว่าอยากไปดูเหมือนกันเพราะเราเป็นพุทธศาสนิกชนโดยกำเนิด
แต่ว่าเราไม่เข้าใจพุทธศาสนา ช่วงที่อยู่อุบลเล่นการเมือง ก็สร้างวัดมาเยอะ ทำบุญเพราะอยากเป็นผู้แทน เราไม่เข้าใจอะไรคือบุญ
ทำบุญเราก็ถามว่าทำไมไม่ประกาศชื่อเราซักที เราไม่เข้าใจพุทธศาสนามันถึงทางตัน สังเกตอยู่ 2 วัน ก็เห็นว่าน้องปลอดภัยดีไม่เป็นอะไร
ก็บอกคุณแม่ว่าไม่ต้องห่วงbให้ลูกน้องเปลี่ยนกันไปปฏิบัติ ตัวเองไม่ยอมปฏิบัติ เป็นคนค่อนข้างจะดื้อ เราขายคอมพิวเตอร์เราต้องการ
1+1 เป็น 2 การที่มาพูดเรื่องเวียนว่ายตายเกิด บาปบุญคุณโทษ กฎแห่งกรรม ช่วงนั้นค่อนข้างไม่ยอมรับ โดยเฉพาะ ศีล สมาธิ ปัญญา
นั่งหลับหูหลับตา แล้วบอกว่าเกิดปัญญา ตอนนั้นจิตต้านไม่ยอมรับ เคยว่าพวกเขาบ้า อยากมีปัญญาต้องไป มหาวิทยาลัย ต้องเข้าไปใน
อินเตอร์เน็ต ไปห้องสมุด ต้องอ่านหนังสือเยอะๆ ทำวิจัยเยอะๆ ความรู้สึกตอนนั้นเป็นแบบนั้น พอคืนนั้นเบื่อเต็มที่ ก็เลยทำอะไรที่ชาวบ้าน
เรียกว่า บ้า บ้า บอ บอ หน่อยหนึ่ง
ตอนนั้นได้ยินพระภิกษุพูดว่า “จิตหลุดพ้นดวงตาเห็นธรรม”ก็ถามท่านว่า
“จิตหลุดพ้นดวงตาเห็นธรรมแล้วได้อะไร”
ท่านก็ตอบว่า “พ้นทุกข์”
สนใจคำนี้มาก
เราไม่รู้หรอกว่าจิตคืออะไร หลุดพ้นไปไหน ดวงตาเห็นธรรม ธรรมนั้นเป็นยังไง มีกี่แขนกี่ขา รูปร่างหน้าตาอย่างไร เราไม่รู้ คืนนั้นก็ลองทำดู
กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราดื้อมาก ท้าทายพระพุทธองค์ด้วย ถ้าพระพุทธองค์มีจริงต้องช่วย ถ้าไม่ช่วยไม่เชื่อ ขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นั่งสมาธิ เป็นเวลาเที่ยงคืน พอนั่งแล้วก็เกิดอาการ เหมือนเข้าทรง มันเต้นแผล็บๆ เรารู้ตัวตลอด
มันเป็นพลังอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเต้น สักครูก็เหวี่ยงเหมือนเครื่องซักผ้า พอเหวี่ยงปุ๊บก็เหมือนมีไอร้อนออกจากร่างกายเรา ออกแต่ละครั้ง
เหมือนเราเบาขึ้น สักพักเหมือนรถฉีดน้ำมาล้างภายนอก ล้างหมดเลย เหมือนมีเครื่องเจาะบนหัว เจาะทุกเส้นผมเหมือนโดนเข็มเจาะ
ตอนนั้นเริ่มกลัวแล้ว เอ๊ะทำไมมันแรงขนาดนี้ ถ้าเราเป็นอะไรไปครอบครัวจะทำอย่างไร วินาทีนั้นลูกสาวคนโตอายุขวบหนึ่ง พอเรากลัว
มันเลยมาสั่นที่หัวอย่างแรง ความรู้สึกเหมือนหมุนรอบได้ไม่มีกระดูก แต่จริงๆแล้วน่าจะหมุนนิดเดียวเท่านั้น
วินาทีนั้นเรารู้ว่าเราหยุดไม่ได้แล้ว ความรู้สึกที่เราทุกข์ก็แสดงตัวขึ้นมา ไหนบอกว่าทุกข์ไง ตายก็ดีเหมือนกัน ความรู้สึกว่าตายก็ดีเหมือนกัน
มันเหมือนมีอะไรระเบิด แล้วหงายล้มลงไป ตอนนั้นสว่างไปหมดเลย ก็นอนดื่มด่ำตรงนั้นอยู่สักครู่หนึ่ง มาลืมตาอีกทีตี 3 เข้าใจว่าอาการ
ที่ระเบิดอยู่ประมาณตี 2 กว่าๆ ลุกขึ้นมาในห้องอาหาร แอร์เย็นมาก แต่เหงื่อเราออกเยอะ รู้สึกตัวเบาเดินไปเหมือนเหาะได้ ก็ไปดื่มน้ำ
ตอนนั้นได้ลิ้มรสคำว่า สบาย สบาย พอดื่มน้ำเสร็จ บุหรี่ยังอยู่ในกระเป๋า วินาทีก่อนที่จะนั่งสมาธิไม่มีศีล สูบบุหรี่มา 20 กว่าปี วันนึง 3-4 ซอง
กินเหล้าทุกชนิด ศีล 5 ไม่ให้ทำอะไร ทำหมด ความเคยชินก็เอาบุหรี่ขึ้นมาสูบ สูบไม่ได้เพราะมันเหม็น ก็เลยโยนทิ้งไม่ไปคิดด้วย
เพราะช่วงที่เราสูบนั้น เราก็รู้ว่าสูบบุหรี่ไม่ดี เป็นมะเร็ง สมองรู้แต่จิตไม่รู้ มันสู้ความอยากของใจไม่ได้ ทุกคนก็รู้ เราพยายามเลิกเลิกไม่ได้
แต่วินาทีนั้นสูบ ไม่ได้มันเหม็นเราก็ทิ้ง แล้วก็ไม่ไปหาเหตุผล เดินไปกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ วินาทีนั้นรู้สึกว่า
เราเลิกนับถือพระพุทธเจ้าทันที
เพราะคำว่านับถือมันหยาบไป บูชาถวายชีวิตแก่พระองค์
ไม่สงสัยคำสอนของพระองค์ว่าทำให้เราพ้นทุกข์ได้จริงๆ เราลิ้มรสคำว่า
“สบายโดยไม่ต้องสะดวก”
ถูกหลอกไป 40 ปี ถูกสอนให้สะดวกสบาย ต้องสะดวกก่อนแล้วค่อยสบาย กว่าจะเรียนจบทำงานหนักมาก เอาเงินไปซื้อเทคโนโลยีมาบำเรอ
ความสะดวก เมื่อสะดวกแล้วค่อยรู้สึกสบาย ค่อยรู้สึกว่าสุข แต่เป็นความสุขซึ่งได้มาซึ่งอามิส วินาทีนั้นเราสบาย ใช้คำว่า “สบ๊าย สบาย”
ขับรถกลับบ้านไปอาบน้ำสบู่ ที่เราใช้มาหลายปี คืนนั้นอาบแล้วคล้ายกับว่าล้างอย่างไรก็ไม่ออก มันลื่นไปหมด เราไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไร
ขับรถไปที่วัดไทย เขาทำวัตรเช้ากันอยู่ เสียงสวดมนต์ เสียงระฆังไม่เข้าไปในหู มันอยู่ข้างนอก ระบบประสาทมันเปลี่ยนไปหมด
กลับมา 3 วัน 3 คืน ไม่ได้นอน ไม่ง่วง มันนอนไม่ได้ ลืมตาก็สว่าง หลับตาก็สว่าง วันที่ 4 ก็เกิดอาการเหวี่ยงอีก กลัวจะล้มก็เลยลงไปนั่ง
เกิดระเบิดอีกที ก็หงายลงไป ตอนนั้นก็นิ่ง นิ่งสักพักนึ่ง แสงนั้นก็หายไป กลับมาเป็นปกติ จากนั้นก็มาที่บริษัทคอมพิวเตอร์
ไปเคลียร์งานทุกอย่างอะไรที่สำคัญก็ให้น้องเขาไป ส่วนร้านอาหารก็จ้างลูกน้องมาดูแล เรากับภรรยาก็อยู่ที่บ้านเฉยๆ 1 ปี
ทำไมต้องรอ 1 ปีอยู่ที่บ้าน ลูกศิษย์คนแรกที่เราสอนก็คือ ภรรยา สอนนั่งเลย เขาก็เหวี่ยงได้ จิตมันลอยเคว้งคว้างอยู่ ชั่วโมงสุดท้าย
เขาไม่ให้นั่ง นั่งทีไรก็อาเจียนตลอดไม่มีอะไร มีแต่ลม พอไปหาคุณหมอปรากฏว่ามีท้อง 1 เดือน ตอนนี้เป็นเณรดอน บวชเณรอยู่
ถ้าเณรดอนมาช้าอีก 1 เดือน ก็ไม่ได้เกิด รออยู่ที่บ้านจนน้องดอนคลอด คลอดแล้วเลือดไม่มีกรุ๊ป 1 เดือนไปตรวจอีกเลือดก็ยังไม่มีกรุ๊ป
6 เดือนก็ไม่มีกรุ๊ป ไม่เข้ากับกรุ๊ปอะไรเลย แต่หมอก็ยืนยันว่าแข็งแรงดี เขาขอวิจัยต่อไป ถ้าโตขึ้นน่าจะเอาเลือดไปฝากธนาคารเลือดไว้
ตอนนั้นปรึกษาแม่บ้านว่ากลับบ้านเราเถอะ อยู่ที่นี่เหมือนรอวันตายอย่างเดียว ตอนนั้นเราไม่ได้สงสัย ไม่ได้เป็นห่วงอะไรเลย
สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ไม่ได้ห่วง บังเอิญเป็นบุญเก่า แม่บ้านคิดอยู่ 1 คืน ก็บอกว่าตกลง อยู่ที่โน่นอาชีพของเขาคือ ช๊อปปิ้ง
เมื่อกลับมาเมืองไทย ก็ไปอยู่บ้านที่เชียงใหม่ช่วงหนึ่งก็ไม่ใช่ บ้านกรุงเทพก็ไม่ใช่ บ้านที่อุบลในเมืองก็ไม่ใช่ บังเอิญมีเพื่อนรุ่นน้อง
อยู่แถวเขื่อนสิรินธร ชายแดน เขาพาไปเที่ยวตรงนั้น พอเราไปเหยียบผืนแผ่นดินตรงนั้นจิตบอกใช่แล้ว นี่ก็คือที่มาทั้งหมด
ก็เลยไปใช้ชีวิตที่โน่น จากวันนั้นถึงวันนี้ 26 ปี (ปีพ.ศ. 2558) ช่วง 10 ปีแรกไม่ค่อยได้ยุ่งกับสังคม ทำบุญไปตามอัตภาพ
ช่วยเหลือสังคมโดยใช้เงินส่วนตัว แต่ช่วงหลังเราเห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคม-ชุมชนแรงมาก หนุ่มสาววิ่งตามเงิน
คนแก่เลี้ยงหลานที่บ้าน วิถีไทยล่มสลาย การหย่าร้างมากขึ้น เด็กคนแก่ถูกทอดทิ้ง พ่อไปทางแม่ไปทาง เหมือนเราปล่อยวางแล้วล่ะ
เดินไปเห็นคนตกน้ำบอกธุระไม่ใช่ เดี๋ยวจะไม่สำรวม มันทำใจไม่ได้ ก็เลยปรึกษาหัวหน้าชุมชนตั้งศูนย์พลาญข่อยขึ้นมา
ตอนนี้ศูนย์พลาญข่อยเองก็แยกเป็น 3 ศูนย์ใหญ่ๆ เริ่มต้นโดยสร้างศูนย์ปากท้องก่อน เพราะชีวิตเราต้องอยู่ต้องกิน ปัจจัย 4 มาจากภาคเกษตร
ไม่ว่าจะอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย เราก็สร้างศูนย์ปากท้อง ทำอยู่ 5 ปี เราปลูกทุกอย่าง ทำทุกอย่างเท่าที่ชีวิตจำเป็นต้องอาศัย
พอมีส่วนเกินก็ไปสร้างศูนย์จิตใจ คือเราเห็นแล้วว่ามนุษย์เรานี้ถ้ามีเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่พอ เพราะ “รวยแปลว่ามีเยอะไม่ได้แปลว่าสุข”
ถ้าจิตไม่มีปัญญาจะสุขไม่เป็น จึงเปิดศูนย์จิตใจเพื่อพัฒนาจิต ส่วนมากยุคทุนนิยมเรานี้ คำว่า DEVELOPMENT หรือคำว่าพัฒนา
เราไปเน้นที่การพัฒนาวัตถุภายนอก เราไม่ได้พัฒนาจิต เมื่อศูนย์จิตใจเปิดมา 5 ปี ผู้ปฏิบัติก็มาจากหลายจังหวัด หลายประเทศ มาใช้ศูนย์จิตใจนี้
เมื่อมีส่วนเกินบ้างก็เปิดศูนย์สมอง เพราะปัญหาชุมชนคือ เด็กถูกทอดทิ้ง เปิดศูนย์สมองตั้งแต่อนุบาล1 – มัธยมศึกษาปีที่ 5 รับเด็กมาจาก 19 หมู่บ้าน
หลายเปอร์เซ็นที่เด็กไม่ได้กินข้าวเช้า เขาไม่ได้ขาดสารอาหาร แต่เขาขาดอาหาร พ่อแม่ที่หนีมาทำงานถ้าเดือนไหนไม่ได้ส่งเงินกลับมา
คุณยายและหลานที่บ้านก็จะไม่ได้กินข้าว จึงเปิดศูนย์สมองขึ้นมาเพื่อรองรับสิ่งนี้ ทุกอย่างฟรีหมด เริ่มโดยจัดตั้งมูลนิธิเพื่อผู้ด้อยโอกาสศูนย์พลาญข่อย
เพื่อมาจัดตั้งโรงเรียนสงเคราะห์ ได้รับอุดหนุนจากรัฐบาลส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็มาจากมูลนิธิรับบริจาคจากผู้ปฏิบัติภายนอก ตอนนี้ทั้ง 3 ศูนย์ก็ได้จุนเจือกันอยู่
เรากำลังพยายามทำให้ศูนย์พึ่งพาตนเองได้ ให้พึ่งพาข้างนอกน้อยที่สุด เรามีแปลงเกษตรผลิตอาหาร ส่วนศูนย์ปากท้องเราทำ
“เกษตรเพื่อชีวิตมิใช่เพื่อธุรกิจ
ทำมาหากินมิใช่ทำมาหาขาย”
ซึ่งเกษตรกรเราไม่ค่อยมีโอกาสได้เรียนรู้วิชาซื้อวิชาขายเพราะเขาเลือกเกิดไม่ได้ เขาไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้ทักษะในการบริหารเรื่องเงิน
เรื่องการตลาด แต่สังคมไปกระตุ้นให้พวกเขาเกิดความอยาก ทุกคนมีกิเลส เมื่อถูกกระตุ้นแล้วก็มีตัณหาเกิดขึ้นตามสัญชาติญาณของปถุชน
เขาก็วิ่งตามเงินเพื่อมาซื้อวัตถุ ที่ผมไปอยู่ตรงนั้นถ้ามีใจต้องบอกตกใจ แต่ตอนนี้ไม่มีใจ เหวี่ยงใจทิ้งหมดแล้ว หลายๆคนไปศูนย์บอกเกรงใจพ่อครู
อย่าเกรงใจนะ ที่โน่นไม่มีใจ เรามีแต่จิต เรามีแต่ให้ ชาวบ้านพาไปเก็บเห็ด ไปตัดหน่อไม้ เราคิดว่าในโลกนี้ยังมีแบบนี้อีกเหรอ มีอาหารทิพย์
มีซุปเปอร์มาเก๊ตโดยไม่ต้องเสียสตางค์ ไม่มีสารเคมี แต่พอผ่านมาเรื่อย ถนนเริ่มมา ไฟฟ้าเริ่มมา โทรทัศน์เริ่มมา ทุกคนก็อ้างว่ามีหนี้มีสิน
ก็อ้างว่าต้องมาหาเงินที่กรุงเทพเพื่อไปซื้อวัตถุเหล่านี้ ภาษาอีสานเรียกไปไต้เห็ด เช้ามืดเราก็ไปเก็บ เก็บมาแค่พอกินเพราะเราไม่มีตู้เย็น เธอไปก็ได้
ชั้นไปก็ได้ ได้ทุกคน เรามีตู้เย็นแบบธรรมชาติไม่ต้องเสียค่าไฟ แต่หลังจากมีถนนแล้วมันขายได้ ต้องมาแย่งกันเก็บเห็ดไปขาย
ต่างคนต่างเก็บทำลายจนเกือบจะสูญพันธ์ แล้วก็ต้องไปเรียนวิชาเพาะเห็ดกัน แล้วก็ขาดทุนกัน ที่บอกว่า
“จนแปลว่าไม่มี ไม่ได้แปลว่าทุกข์
รวยแปลว่ามีเยอะไม่ได้แปลว่าสุข”
แต่ตอนนี้ความยากจนมันเกิดขึ้น ทำไมมันถึงยาก มันยากเพราะความอยากรวย ก็เลยต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา มาทำธุรกิจการเกษตร
เขาไม่มีโอกาสเรียนรู้วิธีทำธุรกิจ เขาก็เลยพลาด เกิดหนี้สินขึ้น ทีนี้ไม่ได้จนเฉยๆ แต่ยากจน ที่มันยากเพราะเป็นหนี้ไม่จ่ายเขาก็ไม่ได้
ก็ต้องทิ้งลูกทิ้งเมียไปหาเงินหาทอง ความยากจนก็เกิดขึ้นเพราะสิ่งนี้ จริงๆแล้วถ้าจนเฉยๆ คนโบราณเขาไม่มีสตางค์เลย ในชนบทก็อยู่ได้