080-5519598 (คุณแก้ว) plarnkhoi@hotmail.com
Select Page

นพ. กัลป์ ปิติกุลตัง

อาชีพนายแพทย์ปัจจุบัน สาขากุมารเวชศาสตร์

 
“มาเจอศูนย์ฯนี้ ผมบอกตัวเองว่าใช่เลย” เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อ 3 ปีก่อนซึ่งเป็นครั้งแรก ที่ผมมาศูนย์พลาญข่อย (ส.ค. 2542) ปกติแล้วจะให้จู่ ๆ
ก็ตามใครไปปฏิบัติธรรมคงจะยากเพราะไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นเลย แต่ที่ได้มาศูนย์ฯ ก็เพราะพี่ชายเป็นเพื่อน อ.บัญชา ตั้งวงษ์ไชย ชวนมาฟังพี่ชายเล่าก็รู้สึกทึ่ง
เมื่อได้พบวิธีการทำสมาธิก็เกิดความรู้สึก “ใช่เลย” ยิ่งอาจารย์สามารถตอบปัญหาคับข้อง คาใจของผมเกี่ยวกับพุทธศาสนาและการดำเนินชีวิตจึงเกิดศรัทธาขึ้น

ความจริงผมก็ไม่ทราบว่า “ใช่เลย” ที่ผมรู้สึกนี่คือใช่อะไร อาจจะใช่เพราะตรงกับจริตของผมกระมัง หรืออาจเป็นเพราะผมพบอยู่แล้วว่าวิธีปฏิบัติสมาธินี้เข้ากับหลักธรรมชาติ
ผมเคยสังเกตพบอยู่แล้วว่าพลังงานต่าง ๆ ที่เราได้รับหรือบริโภคอยู่เป็นประจำทุกวัน ล้วนเกิดจากพลังการหมุนทั้งนั้น เช่น การหมุนของมอเตอร์ ทำให้เกิดพลังงานไฟฟ้า
โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ล้วนแล้วแต่ต้องหมุนทั้งนั้นเพื่อรักษาสมดุล แม้แต่ในอะตอมยังมีอิเล็กตรอนหมุนเลย ในชีวิตประจำวันของคนเราก็ประสบแต่กิจกรรมที่หมุนเวียนซ้ำซาก
เช่น กิจวัตรประจำวันหน้าที่การงาน ซึ่งเรียกว่า เป็นวัฏฏะแห่งชีวิต การหมุนจึงเป็นบ่อเกิดของพลังงานและความสมดุล ผมคิดว่าถ้าเราสามารถทำให้จิต เกิดการหมุนก็น่าจะทำให้
จิตเกิดพลังขึ้นและก่อให้เกิดความสมดุล ของร่างกายและจิตใจ เพราะแนวคิดเช่นนี้ (ส่วนตัว) กระมังทำให้เกิดความรู้สึก “ใช่เลย” ในใจผม ผมจึงตกลงใจที่จะลองปฏิบัติดู

ครั้งแรกที่มาศูนย์ฯ ผมมาแบบไป- กลับ ได้ลองฝึก 1 ชั่วโมง ยังทำไม่ได้ แต่ภรรยาผมนั่งแค่ 5 นาที ก็เข้าสมาธิได้ ผมทึ่งมากที่เห็นภรรยาอาเจียน และร้องไห้ เห็นพี่ชายตีต้นขาตัวเอง
ผมทราบว่าภรรยาและพี่ชายผมไม่ได้แกล้ง หรือตั้งใจทำเช่นนั้นเลย ผมสงสัยมากเลยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมจะต้องพิสูจน์ให้ได้ หลังจากวันนั้น ผมกลับมาฝึกต่อที่บ้าน ฝึกอยู่
1 เดือนด้วยความตั้งอกตั้งใจ ฝึกวันละ 3 รอบ เช้า-บ่าย-ก่อนนอน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังทำไม่ได้ จึงตัดสินใจกลับไปฝึกกับอาจารย์ที่ศูนย์ฯ นอนค้าง 3 คืน จนคืนวันสุดท้าย
พรุ่งนี้จะกลับบ้านอยู่แล้ว ผมตั้งใจทำจนเหงื่อไหลไคลย้อย จวนจะหมดชั่วโมงอยู่แล้ว ก็ยังไม่เห็นเกิดอะไรขึ้น ผมคิดว่า ผมคงไม่มีวาสนากับการปฏิบัติธรรมวิธีนี้แล้ว
ตั้งใจว่ากลับบ้านแล้วจะไม่กลับมาอีกขณะกำลังจะลุกขึ้นจากท่านั่งสมาธิ ผมพลันรู้สึกว่าเสียงระฆังที่ได้ยิน กลายเป็นเสียงแผล็บ ๆ ที่หู แล้วไม่ทราบว่ามีพลังอะไรมา
ฉุดกระชากผมให้เกิดอาการหมุนขึ้น เป็นพลังที่มหาศาลมาก ผมลองพยายามขัดขืน แต่ก็สู้แรงไม่ไหว ลำตัวและแขนของผม ไม่ยอมฟังคำสั่งจากสมองเลย
ยังคงหมุนวนตลอดเวลา เป็นอยู่ประมาณ 1 นาทีกว่า ๆ สุดท้ายพลังนี้กระชากผมให้ล้มหงายลง แล้วพลังก็หายไป ผมทั้งตื่นเต้นและดีใจมาก หายสงสัยที่ทำไมคนอื่น
พอเข้าสมาธิแล้วจึงแสดงท่าทางต่าง ๆ แปลก ๆ จึงได้คลานไปกราบอาจารย์ เพื่อปวารณาเป็นศิษย์อย่างเต็มตัว ประสบการณ์วันนั้น สอนธรรมะผมว่าในการปฏิบัติธรรมนั้น
หากยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้ต่อเมื่อปล่อยความอยากได้จึงจะได้และแน่ใจว่าในร่างกายของคนเรายังมีพลังชนิดหนึ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมสั่งการของสมอง
พลังจะปรากฏต่อเมื่อเราหยุดใช้สมอง (ความคิด) เพราะฉะนั้น คนชอบใช้สมอง ใช้ความคิด ขี้สงสัย จึงอาจจะฝึกได้ยากหน่อยเช่นเดียวกับผม

หลังจากกลับบ้าน ผมหมั่นฝึกทุกวัน วันละ 3 รอบ เช่นเดิม รอบละประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อทำได้ครั้งหนึ่งแล้วก็รู้ทาง สามารถทำได้ทุกครั้ง ต่อมาอีก 1 เดือน
ผมกลับไปที่ศูนย์อีก อยู่ 4 วัน 3 คืน เช้ามืดสุดท้ายขณะอยู่ในสมาธิ จู่ๆก็เกิดเวทนาทางใจ รู้สึกว่าชีวิตมีแต่ความทุกข์ อะไรๆก็มีแต่ความเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยงแท้
ไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามใจตนได้ น้ำตาไหลออกมา อาการหมุนเร็วและแรงขึ้น จนล้มหงายกลิ้งไปกลิ้งมา ศีรษะหมุนขลุกขลักตลอดเวลาเหมือนลูกเต๋ากลิ้งในชาม
เป็นอยู่ประมาณ 10 นาที เหนื่อยราวจะขาดใจ ในที่สุดตัดใจไม่อาลัยอะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน ตายเป็นตาย จิตเกิดอาการดิ้นรนอย่างแรง ทำให้ศีรษะและลำตัวหมุนเร็ว
และแรงขึ้นไปอีก จนคล้ายกับ เหวี่ยงเอาอะไรออกไปทางศีรษะ อาการหมุนจึงสงบลง สิ่งที่สัมผัสได้หลังจากนั้นไม่มีอะไร มีแต่ความรู้สึกสบายๆ ว่างๆ โปร่งๆ โล่งๆ
ชั่วโมงถัดมาซึ่งเป็นชั่วโมงสุดท้ายของการปฏิบัติคราวนี้ไม่กลิ้ง แต่ลำตัวหมุนบิดไปมาตลอดเวลา จนรู้สึกถึงกระดูกสันหลังที่ลั่น กุบกับ กุบกับ เป็นอยู่ประมาณ 5 นาที
อาการหมุนก็หยุดลงเอง ได้ลุกขึ้นนั่งทำสมาธิต่อ แต่ไม่รู้สึกถึงอาการหมุนอีก จึงออกจากสมาธิไปเป็นพี่เลี้ยงให้กับคนอื่นต่อ

หลังจากการหมุนครั้งนี้ ผมหายจากอาการปวดหลังซึ่งเป็นโรคประจำตัวราวกับปลิดทิ้ง แสดงว่าการทำสมาธิโดยการหมุนนี้ สามารถทำให้หายจากความเจ็บปวดทางกาย
ได้ตามสมมติฐานของผมตั้งแต่แรก ผมเป็นแพทย์ปัจจุบัน เชี่ยวชาญสาขากุมารเวชศาสตร์ มีความเชื่อมั่นในความคิด ความรู้สึกของตัวเองตลอดมา ไม่เคยคิดจะเชื่อว่าสมาธิ
จะสามารถรักษาโรคได้ แต่ด้วยความที่มีจิตวิญญาณของนักวิทยาศาสตร์อยู่ในตัวไม่รีบด่วนปฏิเสธ เมื่อดูแล้วไม่น่าเชื่อ จึงได้ใช้ตัวเองทดสอบทดลองปฏิบัติจนประสบผลดังกล่าว
พอจากนี้ ลูกชายของผมเป็นโรคหืดหอบ ตั้งแต่เล็กจนโต อายุ 21 ปี ผมไม่มีปัญญาที่จะใช้ความรู้ทางแพทย์แผนปัจจุบันรักษาลูกของตนเองให้หายได้ เขาต้องใช้ยาพ่นขยาย
หลอดลมเป็นประจำ เมื่อเรียนจบนิติศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมจึงนำลูกชายมามอบให้อาจารย์ที่ศูนย์ เมื่อเข้าสมาธิจะเกิดอาการหอบ หายใจลำบาก และร้องคร่ำครวญ
เหมือนคนกำลังป่วยหนัก แต่ด้วยศรัทธา ที่มีต่ออาจารย์เขาสู้ทนกับอาการต่างๆ ในสมาธิตลอด 7 วัน แล้วในที่สุด เขาก็สามารถเอาชนะมันได้ เขาหายจากโรคหอบหืดอย่างไม่น่าเชื่อ
ทุกวันนี้เขาไม่ได้พกยาพ่นขยายหลอดลมอีกเลย

นอกจากผลพลอยได้ทางสุขภาพกายแล้ว ยังได้ผลทางจิตใจซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการปฏิบัติธรรม เดิมผมเป็น พุทธศาสนิกชนโดยทะเบียนบ้านเท่านั้น ไม่เคยศึกษาให้เข้าใจ
ในแก่นธรรมของพระพุทธองค์ คิดว่าทำตนเป็นคนดีก็พอแล้ว แถมยังเคยชวนภรรยาให้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น เมื่อได้ฟังธรรมจากอาจารย์บัญชา ก็พิจารณาตาม เกิดความรู้
ความเข้าใจเบื้องต้น และเมื่อปฏิบัติสมาธิได้ผลเกิดความรู้หยั่งเข้าไปในจิต ปล่อยวางอุปทาน ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ระดับหนึ่ง ตาสว่างหายลังเลสงสัยในธรรมของพระพุทธองค์อีก
ความคิดความเห็น เกี่ยวกับชีวิตของผลเปลี่ยนไป รู้ว่าตนเองจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร และเพื่ออะไร มองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมา รู้สึกตนเองเหมือนคนเดินหลงทางอยู่
บัดนี้ผมรู้แล้ว และรู้สึกถึงทิศทางที่จะกลับบ้านแล้ว ผมต้องใช้เวลาที่ยังเหลืออยู่ของชีวิต ก้าวเดินไปตามทางที่ค้นพบ แม้ทางจะลำบากเพียงไร ผมก็จะไม่ล้มเลิกความเพียรที่จะก้าวต่อไป
ผมมีความมั่นใจว่าผมเดินมาไม่ผิดทางแน่นอน

แม้วิธีปฏิบัติจะดูแปลกกว่าวิธีที่เขาปฏิบัติทั่วๆไป กัมมัฏฐาน 40 นั้น เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น ยังไม่ครอบคลุมทุกวิธี ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน ตัวอย่างเช่น พระองค์ให้
พระจุฬปัณถกลูบผ้าขาวไปมา จนจิตเกิดสมาธิ แล้วพิจารณาธรรม จนบรรลุอรหัตผล ผมเข้าใจว่าข้อสำคัญ จะต้องมีสัมมาทิฐิซึ่งเปรียบประดุจเข็มทิศในการเดินทาง
อาจารย์บัญชา สอนธรรมด้วยภาษาธรรมดาๆ พร้อมยกตัวอย่างง่ายแก่ความเข้าใจ และก่อให้เกิดสัมมาทิฐิเบื้องต้น อาจารย์ไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยที่จะคอยสั่งสอนชี้แนะ
ตักเตือนและเป็นแบบอย่างแก่ลูกศิษย์ ทำให้พวกเราสามารถก้าวเดินไป ในกรอบของมรรคอย่างมั่นคง

นพ. กัลป์ ปิติกุลตัง

 

คุณสุดา ปิติกุลตัง

อาชีพผู้พิพากษาสมทบ จ.มุขดาหาร

 

ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมา บัดนี้ 47 ปีกว่าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเป็นบุคคล สิ่งของหรือเหตุการณ์ต่างๆทั้งดีหรือไม่ดี ทั้งสุขหรือทุกข์ ก็ล้วนถือเป็นประสบการณ์ทั้งสิ้น
ประสบการณ์ที่ได้รับทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ชีวิตด้านต่างๆ ได้รับทั้งความดีใจ เสียใจ สะใจ สลับเปลี่ยนกันไป ไม่รู้จักจำ ไม่รู้จักจบสิ้น อีกนานแค่ไหนก็ไม่เคยสนใจ
ที่สำคัญข้าพเจ้าไม่รู้ว่ามันไม่ได้จบแค่ชั่วชีวิตในชาตินี้เท่านั้น มันจะเป็นไปอีก กี่ภพกี่ชาติด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดมาก่อนแต่ข้าพเจ้าคิดว่า
ข้าพเจ้าจะไม่ทำอะไรให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อนก็พอแล้ว

ข้าพเจ้าหารู้ไม่ว่ากำลังดำเนินชีวิตอย่างประมาทเป็นอย่างยิ่งเพราะบางครั้งก็เผลอทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัวเลย(ขาดสติ) สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่า รู้ รู้ รู้
นั้นมันไม่ใช่ความจริงเลย จนกระทั่งได้มาพบกับอาจารย์บัญชา ตั้งวงษ์ไชย และได้มาฝึกอายตนะวิปัสสนากัมมัฏฐานทำให้ข้าพเจ้าได้ประสบการณ์อีกแบบหนึ่งซึ่ง
ไม่เคยคิดว่าจะได้พบมาก่อน สิ่งนั้นคือ “ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ” ที่สำคัญคือทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจคำว่า “ชีวิต” มากขึ้น เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตและความคิด
ความอ่านเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว สมควรที่จะเรียกว่า “พลิกจิต” เลยก็ว่าได้

ถ้าจะถามว่า ข้าพเจ้าได้รับอะไรจากการฝึกอายตนะวิปัสสนากัมมัฏฐานที่ศูนย์พลาญข่อย บ้าง เริ่มตั้งแต่ 14 สิงหาคม 2542 จนถึงบัดนี้ ปี 2545 รวม 3 ปีแล้ว
ข้าพเจ้าจะบรรยายอย่างละเอียดได้คงต้องใช้หน้ากระดาษเป็นร้อยแผ่นแน่นอนจึงขอสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้

1.ได้สัมผัสธรรมชาติที่เป็นป่าห่างไกลผู้คน เป็นความสุขสงบที่ไม่เคยพบมาก่อน ใช้ชีวิตกลางคืนอยู่กับแสงเทียนแทนไฟฟ้าที่เคยใช้
2. ได้รับประทานอาหารมังสวิรัติจากฝีมือคุณป้าแขไข น้องปอและน้องปู (สามแม่ครัว) อาหารเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง
3. ได้มองเห็นตัวเองว่ามีแต่ความน่าเกลียดมากมายทางรูปธรรม เช่น ขี้หู ขี้ตา ขี้ไคล ฯลฯ เห็นแบบนี้แล้วทำให้ความยึดมั่นในตัวตนว่าเป็นของตนลดลง
มีแต่ของน่าเกลียดแล้วยังอยากจะยึดเป็นของตัวเองอีกเห็นตามความเป็นจริง
4. ได้พบว่าความโกรธลดลง ภายในเวลา 1 เดือนหลังจากการฝึก แม้แต่ตัวเองยังแปลกใจเลย
5. ได้พบว่าความอยากได้โน่น อยากได้นี่ลดลงภายใน 2 เดือน รู้เลยว่ามีสมบัตินั้นก็เป็นทุกข์เหมือนกันนะ ก็ต้องมานั่งดูแลรักษา ให้คนเช่าก็ต้องคอยทวงค่าเช่าทุกเดือน
นี่แหละ “ความทุกข์” ทั้งนั้น
6. ได้พบว่าการเวียรว่าย ตาย เกิด มีจริง เพราะเมื่อฝึกสมาธิได้ 1 ปีกว่า อาการที่แสดงออกมาในช่วงที่อยู่ในสมาธิมีหลายรูปแบบ เช่น กอดลูกแล้วร้องไห้ คนเมาเหล้า
นักบวช นางรำ ดาบคู่ หมี เสือ ฯลฯ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จะตรงกับอาการที่แสดงออกมาด้วย เหมือนเป็นการเปิดโปรแกรมที่เคยบันทึกไว้ออกมาให้ตัวเองได้รับรู้
7. รู้สึกว่า สามารถปล่อยวางหลายๆ ปัญหาได้ง่ายขึ้น ไม่นำมาคิดให้วุ่นวาย มีสติในการแก้ปัญหาได้ดีขึ้น ไม่ได้หนีปัญหา ความทุกข์น้อยลงมาก รู้สึกได้แต่เพียงว่า
เรื่องใดที่จะนำทุกข์มาให้จิตจะวางไปเลย จิตจะไม่รับเอาความเศร้าหมองมาจริงๆ

อาจารย์มักจะเตือนอยู่เสมอว่า “ให้มีสตินะ” คำสอนของอาจารย์ก็จะเน้นเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ให้ดำเนินชีวิตอยู่ในมรรคมีองค์ 8 หรือทางสายกลาง ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่า
ทางสายกลางของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ข้าพเจ้ายังคงปฏิบัติตลอด ในยามว่างก็จะนั่งฝึกปฏิบัติเป็นกิจจะลักษณะ 1/2 – 1 ชั่วโมงเลย ในขณะที่ทำกิจวัตรประจำวัน
ก็จะเจริญสติอยู่ในปัจจุบัน ตามที่อาจารย์สอน ทุกวันนี้ข้าพเจ้าเห็นจิตตัวเองมากขึ้นทุกขณะ รู้เท่าทันอารมณ์ที่มากระทบ รู้เท่าทันกิเลสมากขึ้น อยู่กับสังคม คนรอบข้างได้
อย่างมีความสุขมากขึ้น คือ ทุกข์นั่นเอง บางครั้งมีเผลอสติบ้าง ก็จะพยายามดึงกลับมาอยู่กับจิตตัวเอง มีสติมากขึ้น การสร้างอกุศลกรรมทางกายและวจีกรรมก็น้อยลง
ข้าพเจ้าเห็นทางเดินที่พระพุทธองค์ท่านพร่าบอกมาสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ข้าพเจ้าขอถวายชีวิตและจิตนี้ให้กับพระพุทธองค์ จะปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ให้บรรลุผลนิพพาน
ถึงไม่สิ้นสุดในชาตินี้ ก็จะขอตั้งจิตอฐิษฐานและปฏิบัติให้ถึงจุดหมายปลายทางในชีวิตต่อไป>

ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่า การมาปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานนี้ก็คือ “การฝึกพัฒนาจิต” เพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นนี่เอง และยังเป็นการได้บุญอย่างมหาศาล
ยิ่งกว่าการทำบุญโดยวิธีอื่น เช่น การให้ทานหรือสร้างวัตถุ หรือใช้บางอย่างที่นิยมทำกัน เพราะอานิสงส์ที่ได้รับจากการพัฒนาจิตนี้จะทำให้บุคคลที่อยู่รอบข้างตัวเอง
ได้รับความสุขจากเราไปด้วยมากๆ

“จงอย่าเชื่อ หรือปฏิเสธ จนกว่าท่านจะปฏิบัติด้วยตัวของท่านเอง”

คุณสุดา ปิติกุลตัง